เครื่องกรองอากาศ (Air Purifier) คือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมในอากาศ เช่น ฝุ่นที่มีขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) แบคทีเรีย ไวรัส ต้นเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ รวมถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่าง กลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นอับ กลิ่นเหม็นในบ้านให้หายไป ซึ่งเครื่องกรองอากาศทำงานโดยการดูดอากาศเข้าตัวเครื่องผ่านตัวกรองเพื่อดักจับสิ่งเหล่านี้เอาไว้ แล้วปล่อยอากาศบริสุทธิ์ออกมาแทน เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการจัดทำห้องปลอดฝุ่น
ในการเลือกใช้เครื่องกรองอากาศเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดปริมาณฝุ่นละออง ควรดำเนินการตามคำแนะนำ ดังนี้
ขนาดพื้นที่ห้อง (ตารางเมตร) |
CADR |
CADR ต่ำสุด |
50 |
6.49 |
5.84 |
48 |
6.23 |
5.61 |
46 |
5.97 |
5.38 |
44 |
5.71 |
5.14 |
42 |
5.45 |
4.91 |
40 |
5.19 |
4.68 |
38 |
4.94 |
4.44 |
36 |
4.68 |
4.21 |
34 |
4.42 |
3.97 |
32 |
4.16 |
3.74 |
30 |
3.90 |
3.51 |
28 |
3.64 |
3.27 |
26 |
3.38 |
3.04 |
25 |
3.24 |
2.92 |
24 |
3.12 |
2.81 |
23 |
2.99 |
2.69 |
22 |
2.86 |
2.57 |
21 |
2.73 |
2.45 |
20 |
2.60 |
2.34 |
19 |
2.47 |
2.22 |
18 |
2.34 |
2.10 |
17 |
2.21 |
1.99 |
16 |
2.08 |
1.87 |
15 |
1.95 |
1.75 |
มาตรฐานของแผ่นกรองอากาศท่ีนิยมใช้ในเมืองไทยอ้างอิงจาก 2 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานทางอเมริกาและยุโรป
อิงจากชมรมวิศวกรด้านการทำความร้อน ความเย็นและ การปรับอากาศของอเมริกา (ASHRAE–American Society of Heating, Refrigerating and Air Conditioning Engineers, Inc.) ซึ่งมีมาตรฐานเก่ียวกับการทดสอบแผ่นกรองอากาศโดยเฉพาะคือ มาตรฐาน ASHRAE 52 โดยมีการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขเป็น ASHRAE 52.1 และ ASHRAE 52.2
มาตรฐาน ASHRAE 52.1 แบ่งวิธีการทดสอบแผ่นกรองอากาศเป็น 2 ประเภท ตามประเภทของ แผ่นกรองอากาศ คือ แผ่นกรองอากาศขั้นต้น (Pre-Filter) และแผ่นกรองขั้นกลาง (Medium filter) โดยอาศัยความสามารถในการกรองฝุ่นตามคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของฝุ่นในอากาศเป็นตัวแบ่งประเภท โดยพื้นฐานแล้วฝุ่นที่อยู่ในอากาศมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ ฝุ่นหยาบที่มีน้ำหนักแขวนลอยอยู่ในอากาศไม่นาน และฝุ่นละเอียดมีน้ำหนักเบาและแขวนลอยในอากาศ อีกท้ังไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
MERV–Minimum Efficiency Reporting Value เป็นมาตรฐาน ASHRAE ท่ีปรับปรุงข้ึน เป็นมาตรฐาน ASHRAE52.2P-1999 โดยแบ่งระดับของประสิทธิภาพในการกรองออกเป็น 16 ระดับ คือ MERV 1–MERV 16 และทำการวัดโดยใช้ฝุ่นขนาด 0.3–10 ไมครอน โดยแบ่งขนาดออกเป็น 12 ช่วง และแบ่งช่วงกว้าง เป็น E1 (0.3-1.0 μ), E2 (1.0-3.0 μ), E3 (3.0-10.0 μ) เพื่อหาค่าเฉลี่ยและเทียบตารางเกณฑ์เพื่อกำหนดว่าแผ่นกรองท่ีทดสอบน้ันอยู่ในเกณฑ์ MERV1–MERV16 ว่าจะเป็นระดับใด
มาตรฐานทางยุโรป EN779-2002 และ EN1822-1998 ซึ่งการทดสอบตาม EN779 แบ่งประเภทของแผ่นกรองอากาศเป็นแบบหยาบคือ class G1–G4 และแบบละเอียดคือ F5–F9 ส่วนมาตรฐาน EN1822 เป็นการทดสอบมาตรฐานแผ่นกรองอากาศประเภท High Efficiency Particulate Absorption หรือ HEPA ได้แบ่งประเภทประสิทธิภาพของแผ่นกรองอากาศ คือ H10 – H14
สมาคมวิศวกรรมปรับอากาศแห่งประเทศไทย ได้ระบุถึงการทำความสะอาดอากาศภายนอกตามมาตรฐาน 62.1 กาหนดไว้ดังนี้ คือ
สำหรับอายุการใช้งานของแผ่นกรองอากาศ โดยทั่วไปผู้ขายมักกำหนดว่าแผ่นกรองอากาศชั้นต้น (20-30% ASHRAE Dust spot efficiency) มีอายุการใช้งานได้ 3-6 เดือน แผ่นกรองอากาศช้ันกลาง (45-95% ASHRAE Dust spot efficiency) มีอายุการใช้งาน 6-12 เดือน และแผ่นกรองอากาศชั้นสุดท้าย (> 98% จนถึง HEPA, ULPA efficiency) อายุการใช้งานมากกว่า 1 ปี ถ้าหากบำรุงรักษาเปลี่ยนแผ่นกรอง และช้ันกลาง อาจมีอายุการใช้งานได้นานถึง 2 ปี ซึ่งผู้ผลิตไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจน เนื่องจากขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและปริมาณฝุ่นละออง
เครื่องกรองอากาศประดิษฐ์ (DIY) การเลือกใช้เครื่องกรองอากาศแบบประดิษฐ์ เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่สามารถนำอุปกรณ์มาประยุกต์และปรับปรุงมีหลักการทำงานที่ไม่ซับซ้อน โดยการนำอากาศผ่านตัวกรองชนิด HEPA หรือชนิดอื่น ๆ ที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้มาประกอบ เข้ากับพัดลม ทั้งน้ี ควรเลือกอุปกรณ์ท่ีมีปลอดภัยและได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
[1] https://backend.central.co.th/media/catalog/product/2/8/288e59deb2ed62749f4d557db49b86597228918c_mkp0596834dummy_2.jpg?impolicy=resize&width=553
[2] รูปโดย ผศ.ดร.ภาสกร แช่มประเสริฐ